เกมโลกเปิดที่ไร้สีสัน พบกับเหล่าเกม Open World ที่ไม่ได้สนุกอย่างที่คิด ขาดการดึงดูดชวนให้เหล่าเกมเมอร์ผจญภัย

เกมโลกเปิดที่ไร้สีสัน เหล่าเกมแนวโลกเปิด ที่ไม่ได้ทำให้เกมนั้น ชวนดึงดูดหรือน่าเล่นแต่อย่างใด เป็นเกม Open World ที่ขาดสีสัน ในการผจญภัย ทำให้เกมนั้นไม่ได้นิยมอย่างที่คาดไว้ เราไปดูกันว่ามีเกมไหนบ้าง ที่เป็นเกมเข้าข่ายแนวนี้กันบ้าง และมีเกมไหนที่คุณนั้นเคยเล่นผ่านกันมาบ้าง ต้องมาลองดูไปพร้อมๆกัน จะมีเกมไหนที่ตรงความคิดกับคุณบ้างว่า เป็นเกมโลกเปิดที่จืดชืดไม่ได้ชวนให้อยาก เข้าไปท่องเล่นหรือสัมผัสแต่อย่างใด พวกเรา Torrifyนั้น มาพาคุณนั้นไปดูพร้อมๆกันได้เลย

เกมโลกเปิดที่ไร้สีสัน ในความหมายของคำว่า เกมOpen World นั้นเหล่าเกมเมอร์ จะเข้าใจกันว่า คือเกมเปิดโลกกว้างที่มีรายละเอียดของแผนที่ และเมืองหรือภูมิภาคต่างๆที่กว้างใหญ่ พร้อมให้เหล่าผู้เล่นนั้น ได้เข้าร่วมผจญภัยและเพลิดเพลินไปกับ การเดินทางข้ามแผนที่และพบกับสถานที่ต่างๆที่อลังการงานสร้าง เสมือนเป็นโลกจำลองอีกโลกใบนึง พร้อมสามารถรับอรรถรสของการผจญภัย ผ่านตามสถานที่ต่างและเมืองต่างๆในเกม ได้อย่างกว้างขวาง และชมทิวทัศน์ต่างๆได้เป็นอย่างดี จุดประสงค์หลักๆของแนวเกมพวกนี้ก็คือ การให้เหล่าผู้เล่นนั้น ได้เพลิดเพลินและสนุกไปกับ การผจญภัยในโลกเสมือนนั่นเอง

แต่ก็มีเหล่าเกมแนวโลกเปิด บางเกมนั้นที่ทำออกมาไม่ได้ ทำให้น่าดึงดูดหรือมีสีสัน ให้เหล่าผู้เล่นนั้นอยากเข้าไปเล่น หรือเข้าไปผจญภัยสักเท่าไหร่ เหมือนขาดความน่าสนใจ หรือเรียกว่า จืดชืดขาดความน่าเล่น จนทำให้เหล่าเกมโลกเปิดเหล่านี้ แถมในโลกของเกมเหล่านั้น มีพื้นที่ว่างเปล่ามากเกินไป แทบไม่มีอะไรให้เหล่าผู้เล่นทำเลย แม้จะเป็นโลก Open World ที่กว้างใหญ่แค่ไหนแต่มันกลับกลายเป็นเกมโลกเปิดที่ว่างเปล่าไปซะอย่างนั้น และเกมเหล่านี้ คือเกมโลกเปิด แต่ดันว่างเปล่าเกินไป สำหรับความกว้างใหญ่ภายในเกมไปกูกันว่ามีเกมไหนบ้าง

เกมโลกเปิดที่ไร้สีสัน 1. Metal Gear Survive

เป็นภาคต่อ แต่ไม่ได้มาจาก Hideo Kojima ผู้ที่ทำเกมมา ตั้งแต่แรกเริ่ม และถือว่า กลายเป็นภาคที่แฟนๆนั้นไม่อยากจะจำมันมากที่สุด นอกจากจะเปลี่ยนแนวเป็นเกมเอาตัวรอดของนักรบผู้รอดชีวิตแล้ว กลไกของระบบเกมอย่างแนว Open World นั้นก็คือแห้งแล้งแบบสุดๆ เหมือนรีบๆทำออกมาขายแบบซั่วๆ ไม่ได้ใส่ใจ หรือลงรายละเอียดมากเท่าไหร่นัก รวมไปถึงระบบเกมที่ซ้ำซากจำเจ กลายเป็นอีกหนึ่งภาคที่การันตีได้เลยว่า การขาดหัวเรืออย่าง Kojima นั้นมันเป็นอย่างไร ก็เละตามที่เห็นนั่นเลย

ทำให้ตัวเกมนั้นออกมาแย่ และจืดชืดพร้อมทำให้ เหล่าแฟนๆเกมนี้ นั้นหัวเสียและต่างวิพากย์วิจารณ์กันอย่างมากมาย จนทำให้ตัวเกมนั้นโดนกระแสลบ และถุกตราหน้าว่า เป็นภาคที่ทำให้เหล่าแฟนไม่อยากจะจำ และไม่อยากจะนับว่า คือหนึ่งในเกมซีรีส์ Metal Gear  

เกมโลกเปิดที่ไร้สีสัน

2. Dynasty Warriors 9

กับซีรีส์เกมแอคชั่นสุดมันส์ ตระกูล Musou อย่างซีรีส์เกม Dynasty Worrior จะเอากับเขาด้วย และนี่คืออีกหนึ่งภาคที่ เป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องของแนวคิดที่ว่า “คุณภาพ” นั้นเหนือกว่า “ปริมาณ” โดยตัวเกมเหมือนฝืนยัด ระบบอะไรต่างๆเข้ามาในตัวเกม แถมดันยัดแนว Open World เข้ามาด้วย และนี่เองจึงทำให้ กลายเป็นเกมที่ติดอยู่ในรายการนี้ ไปด้วยเพราะ ความจืดชืดและไม่มีอะไรที่ดึงดูดได้เลย ขาดชีวิตชีวาและ มีพื้นที่ว่างเปล่ามากมาย จนทำให้เกมขาดความน่าสนใจ แถมเรื่องเนื้อหาเกมก็ยังมี เล็กๆน้อยๆแถมยังซ้ำไปซ้ำมาอีก

ยืนยันความน่าเบื่อและ ไม่น่าจดจำจากแฟนๆ หลังเผยคะแนนโหวต รีวิวบน Steam น่าจะเป็นคำตอบที่ชัดเจนพอแล้วว่า เกมนี้พังพินาศขนาดไหน เพราะฉะนั้น การที่จะใส่ระบบต่างๆ และหลากหลายเพื่อเพิ่มความน่าเล่นนั้น หากจัดการไม่ดี หรือไม่คำนึงถึงคุณภาพ ก็จะออกมาพังแบบเกมนี้

3. Mass Effect: Andromeda

เป็นเกมที่แฟนๆต่างรอคอยกันอย่างมาก ในช่วงยังไม่วางขาย แต่กลับกลายมานั่งผิดหวังในตอนเปิดตัวกันแบบเต็มที่ เกมนี้กลายเป็นอีกหนึ่งเกมที่ล้มเหลวในการคิดค้นระบบอะไรใหม่ๆ และยังเป็นตัวอย่างว่า แค่แนว Open World นั้นมันยังไม่เพียงพอ ให้กลายเป็นเกมที่เพอร์เฟ็ค และถูกใจแฟนๆได้ เพราะนอกเหนือจากโลกเปิดกว้างนั้น ระบบที่จะทำให้เกมสนุกและ ทำให้ได้เสียงตอบรับแฟนๆอย่างดี มันต้องมีทั้ง ระบบที่น่าสนใจ เนื้อเรื่องของเกมที่เข้มข้น และเหล่าแอ็คชั่น ที่ทำออกมาได้ดี ตรงความต้องการของเหล่าแฟนๆ จริงๆหากมีสิ่งเหล่านี้ อยู่ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องฝืนยัด Open World เข้ามาเลยก็ได้

เกมโลกเปิดที่ไร้สีสัน

4. RAGE 2

ถึงแม้ระบบเกมจะออกแบบ มาดุเดือดเลือดพล่านแค่ไหน แต่การใส่แนว Open World เข้าไปเหมือนกับกลายเป็น ทำให้เรื่องดีๆ มันกลับจืดชืดหมด ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเกม RAGE2 นั้นโลกของเกมนั้น ต่างขาดสีสันและแห้งแล้ง แถมยังขาดการมีชีวิตชีวา ในการใส่รายละเอียดลงใน โลกใบใหญ่ในเกมนี้ ถึงจะใส่โทนเกมและ สีเกมที่ฉูดฉาด มันก็ไม่ได้ช่วย ให้ดีขึ้นแต่อย่างใด

เกมเพลย์ที่ดุเดือด ก็ถูกทำให้ง่ายเกินไปมาก เท่านั้นยังไม่พอ เนื้อเรื่องและกิจกรรมในโลกของเกม ยังไม่น่าดึงดูดอีกต่างหาก แถมจบเร็วไปด้วย ยิ่งทำให้ไม่มีความจำเป็นต้องออกสำรวจโลกภายในเกมเลย แต่ถึงแม้ว่าจะออกสำรวจได้ มันก็ไม่ค่อยจะมีอะไรมากนัก เหมือนมาตายเพราะแผนที่โลกกว้างเลยทีเดียว

5. FUEL

เป็นเกมโลกใหญ่ ที่มีแฟนๆน่าจะจดจำได้เป็นอย่างดี แต่ไม่ใช่จดจำในเรื่องที่ดีเท่าไหร่นัก เพราะในโลกกว้างของเกมทำออกมาไร้สีสัน อย่างสิ้นเชิง และขาดรายละเอียด เพราะมันแทบจะไม่มีอะไรเลยทั้งเกม ตลอดทั้งเกม ตัวเกมจะให้เหล่าผู้เล่นนั้น สามารถขับขี่ยานพาหนะ ไปที่ไหนก็ได้ทุกที่ในโลกกว้างนี้ แบบ Free Roam แต่มันแทบไม่มีอะไรเลย ว่างเปล่าไร้บ้านช่อง หรือสถานที่ แถมในถนนนั้นยังไม่มีรถสักคันวิ่งผ่าน เหมือนให้เราเล่นเหงาๆอยู่คนเดียวในโลกใบใหญ่ แม้มีอิสระจะทำอะไรตามใจชอบก็ได้  มีเพียงถังน้ำมันให้ เก็บเพิ่มคะแนนเท่านั้น พิสูจน์ได้ว่า เกมนี้มันช่างว่างเปล่าจริง ๆ คนเหงาไปเล่น ระวังเหงามากยิ่งขึ้น แทงบอลออนไลน์

เกมโลกเปิดที่ไร้สีสัน

เกมโลกเปิดที่ไร้สีสัน 6. The Amazing Spider-Man 2

ถือเป็นอีกหนึ่ง ซีรีส์เกม Spider Man ที่ยอดแย่ ถึงเป็นเกมมือถือและคอนโซล โดยปัญหาหลักๆของตัวเกมนี้ ก็เหมือนเกมก่อนหน้านั้น เพราะโลกที่เปิดกว้างแบบ ไม่มีอะไรเลย มีแต่พื้นที่ที่ว่างเปล่า และพวกสิ่งของแบบซ้ำหน้าเดิมๆ ยกตัวอย่างเช่น รถสีเหลือง ก็ล่อเหลืองทั้งเมือง เป็นต้น  รวมไปถึงใช้วิธีการสร้างสิ่งเดิม ๆ เกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมาแทน และเป็นอีกหนึ่งเกมสไปเดอร์แมนที่น่าผิดหวังสำหรับคอเกมและ แฟนไอหนุ่มแมงมุมนั้นเป็นอย่างมาก แต่ปัจจุบัน เกม Spider Man ภาคใหม่ๆนั้น ก็กลับไปแก้จุดอ่อน และก็กลายเป็นเกม Open World ที่ถูกชื่นชอบ และยกย่องเป็นอย่างดี เกมออนไลน์

7. Superman Returns

ถึงแม้ว่า Superman Returns จะไม่ใช่เกม Superman ที่แย่ที่สุด แต่เกมนี้ก็ได้รับคำวิจารณ์ที่หนักหนาเอาการ และที่หนักที่สุดคือโลกเปิดที่ว่างเปล่าสมชื่อบทความ มหานครเมโทรโพลิสที่ดูกว้างใหญ่ แต่กลับไร้ซึ่งชีวิตชีวา รวมไปถึงเนื้อหา และคอนเทนต์ภายในเกมที่มีน้อยมาก ไม่สมกับโลกในเกมที่ออกแบบมา หนักที่สุดเลยคือ ถึงขั้นมีคนที่บอกว่า นี่มันเป็น เพียงเกมที่ใส่โลกกว้าง ๆ มาบังหน้าระบบที่ดูกลวงเท่านั้น ไม่มีอะไรใกล้เคียงกับคำว่า Open World จริง ๆ

เกมโลกเปิดที่ไร้สีสัน